Nissan เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า N7 ในประเทศจีน พัฒนาโดยทีมงานท้องถิ่นของจีน

【PCauto】เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา Nissan ได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ Nissan N7 ในตลาดจีน ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยทีมงานท้องถิ่น น่าแปลกใจสำหรับตลาดในประเทศจีนที่ N7 มีราคาจำหน่ายไม่สูงนัก โดยราคาของแต่ละรุ่นมีดังนี้:

• 510 Air ราคา 614,000 บาท ระยะทางวิ่ง 540 กม. มอเตอร์ 160kW
• 510 Pro ราคา 599,916 บาท ระยะทางวิ่ง 525 กม. มอเตอร์ 160kW
• 625 Pro ราคา 645,226 บาท ระยะทางวิ่ง 635 กม. มอเตอร์ 200kW
• 510 Max ราคา 645,226 บาท ระยะทางวิ่ง 510 กม. มอเตอร์ 160kW
• 625 Max ราคา 691,418 บาท ระยะทางวิ่ง 625 กม. มอเตอร์ 200kW

เมื่อย้อนนึกถึง Nissan Ariya ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ด้วยราคาจำหน่ายในประเทศจีนที่สูงถึง 924,398 บาท ทำให้ Ariya สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดไป

ปัจจุบัน Nissan ได้มอบหมายการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าให้กับทีมงานในจีน และใช้โครงสร้าง Tianyan Architecture ของกลุ่ม DongFeng ในการพัฒนา N7 ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิต พร้อมทั้งตอบสนองความต้องการของตลาดท้องถิ่นในจีนได้ดียิ่งขึ้น

ในฐานะรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกลาง-ใหญ่รุ่นแรกที่พัฒนาภายใต้โครงสร้างเทคโนโลยีพลังงานใหม่ของ Dongfeng Nissan รุ่น N7 ได้รับการออกแบบโดยทีมงานชาวจีนอย่างใกล้ชิด โดยผสานเอกลักษณ์คลาสสิกของ Nissan เข้ากับแนวทางความงามที่ตอบโจทย์รสนิยมผู้บริโภคในจีนอย่างลงตัว

ดีไซน์ภายนอกของ N7 ยังคงยึดเอกลักษณ์ V-motion อันเป็นภาษาการออกแบบของตระกูล Nissan โดยปรับโฉมกระจังหน้า V-Shape แบบปิดทึบเพื่อสะท้อนตัวตนในฐานะรถยนต์ไฟฟ้า ไฟส่องสว่างกลางวันแบบเส้นต่อเนื่อง (Daytime Running Light) ผสานกับเส้นสายตัวถังที่โค้งไหลลื่น สร้างสมดุลระหว่างความล้ำสมัยทางเทคโนโลยีกับเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างลงตัว

ที่น่าสนใจคือเส้นสายตัวถังของ N7 ได้รับแรงบันดาลใจจากความนิยมของผู้บริโภคชาวจีนในสไตล์ "คูเป้ทรงท้ายลาด" โดยยังคงความภูมิฐานแบบรถซีดานสามตอนเอาไว้ พร้อมกับการออกแบบเส้นโค้งหลังคาให้ไหลลื่นยิ่งขึ้น เพื่อลดแรงต้านอากาศและเสริมประสิทธิภาพการขับขี่

ทางการ Nissan เรียก N7 ว่าเป็น "Teana เวอร์ชันไฟฟ้า" โดยการพัฒนาด้านความสะดวกสบายภายในรถได้ยึดความต้องการของครอบครัวชาวจีนเป็นศูนย์กลาง ทีมงานชาวจีนได้ออกแบบฟีเจอร์เด่นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคจีนที่ให้ความสำคัญกับแนวคิด "พื้นที่ที่สาม" ภายในรถ

ภายในห้องโดยสารถูกติดตั้งเบาะนั่งแบบ Multi-Layer ตามหลักสรีรศาสตร์ ซึ่งพัฒนาร่วมกันโดยทีมงานจีนและซัพพลายเออร์ท้องถิ่น โดยมีการปรับแต่งรูปทรงและแรงรองรับของเบาะให้เหมาะสมกับสรีระของชาวเอเชีย พร้อมฟังก์ชันระบายอากาศและทำความร้อน ช่วยให้ผู้โดยสารรู้สึกสบายในทุกสภาพภูมิอากาศ

ที่นั่งด้านหน้ามาพร้อมกับหน้าจอกลางแบบลอยตัวขนาด 15.6 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว ระบบอินโฟเทนเมนต์ในรถได้รับการพัฒนาโดยทีมงานชาวจีน และภายในติดตั้งชิป Qualcomm Snapdragon 8295P

ในคอนโซลกลางมีการติดตั้งช่องเก็บของที่มีความจุ 8 ลิตร ซึ่งสามารถทำหน้าที่เป็นตู้เย็นหรือกล่องเก็บอุณหภูมิได้ สามารถปรับอุณหภูมิได้ผ่านระบบอินโฟเทนเมนต์ในรถ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในครอบครัวสำหรับการเก็บเครื่องดื่มเย็นหรือยารักษาโรค

นอกจากนี้ ภายในห้องโดยสารยังใช้กระจกกันเสียงแบบสองชั้นและเทคโนโลยีการลดเสียงรบกวน ANC (พัฒนาและปรับจูนร่วมกับ Bose โดยทีมงานชาวจีน) พร้อมกับระบบเสียงรอบทิศทาง 14 ตำแหน่ง และแอมพลิฟายเออร์กำลังสูง 910W (ปรับแต่งเสียงด้วย AI ของ iFlytek) เพื่อสร้างประสบการณ์ความเงียบสงบระดับโรงภาพยนตร์ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศจีนที่ต้องการ "ประสบการณ์การขับขี่และการโดยสารแบบดื่มด่ำ"

แบตเตอรี่พลังงานใช้ชุดแบตเตอรี่ลิเธียมสามสูตร (มีความหนาแน่นพลังงานสูงถึง 185Wh/kg) ร่วมกับระบบจัดการความร้อนที่มีประสิทธิภาพซึ่งพัฒนาขึ้นโดยทีมงานชาวจีน โดยในสภาพการทดสอบ CLTC รุ่นนี้สามารถขับขี่ได้ระยะทางสูงสุดถึง 635 กิโลเมตร รองรับการใช้งานระยะยาวและประสิทธิภาพการชาร์จ (ใช้เวลา 30 นาทีในการชาร์จจาก 30% ถึง 80%)

รถมาพร้อมกับกระจกรถที่มีอัตราการป้องกันรังสี UV ถึง 99.9% พร้อมระบบกรอง PM2.5 และแผ่นกรองแอร์ระดับ CN95 สร้างห้องโดยสารเพื่อสุขภาพในทุกสถานการณ์ ซึ่งการออกแบบนี้ตอบสนองความกังวลของผู้ใช้เกี่ยวกับความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมภายในรถในยุคหลังโควิด-19

ระบบรถยนต์รองรับการอัปเกรดระยะไกลผ่าน OTA โดยแอปพลิเคชัน "Nissan Intelligent Connectivity" ที่พัฒนาโดยทีมงานชาวจีน สามารถตรวจสอบสถานะของรถยนต์ ค้นหาสถานีชาร์จ และแชร์บัญชีผู้ใช้ภายในครอบครัวได้

ในด้านกลยุทธ์การตั้งราคา N7 มีราคาที่ตรงกับตลาดครอบครัวหลักในท้องถิ่น โดยราคานี้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมกับรถรุ่นอื่นๆ เช่น BYD Qin PLUS EV, AION S และยังต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง Volkswagen ID.3 อีกด้วย

ทีมงานชาวจีนได้ดำเนินการจัดการห่วงโซ่อุปทานท้องถิ่น (โดยใช้โซลูชันจากผู้ผลิตในประเทศสำหรับมอเตอร์และระบบควบคุมไฟฟ้า) และคาดการณ์ผลประโยชน์จากการผลิตในปริมาณมาก เพื่อให้สามารถปรับลดต้นทุนได้โดยไม่ลดทอนระดับการติดตั้งอุปกรณ์

การเปิดตัว N7 ถือเป็นการอัปเกรดระบบการพัฒนาของ Nissan ในจีน — ทีมงานชาวจีนได้เปลี่ยนจากการปรับแต่งในประเทศไปสู่การเป็นผู้นำในกระบวนการทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่การทำของ Nissan เพียงบริษัทเดียว เพราะ Toyota และ Mazda ก็ได้เปิดตัวรถรุ่น bZ3X และ EZ-6 ในตลาดจีนเช่นกัน

ผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นในอดีตเคยเอาชนะแบรนด์รถยนต์จากยุโรปและอเมริกา แต่ดูเหมือนว่าประวัติศาสตร์จะเริ่มซ้ำรอยอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พวกเขากำลังใช้ความร่วมมือเพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ