สหภาพยุโรปเสนอให้เพิ่มคาร์บอนไฟเบอร์เป็นวัสดุอันตราย ผู้ผลิตรถยนต์อาจได้รับผลกระทบ

【PCauto】เมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐสภายุโรปได้ร่างข้อแก้ไขเพื่อเพิ่มคาร์บอนไฟเบอร์เข้าไปในรายการวัสดุอันตรายของสหภาพยุโรป ซึ่งในปัจจุบันมีวัสดุอันตรายที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว เช่น ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท และโครเมียมเฮกซะวาเลนต์ วัสดุเหล่านี้ยังคงมีการใช้งานอยู่ในปริมาณเล็กน้อยในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และเครื่องบิน

มาตรการนี้เกิดขึ้นระหว่างการแก้ไข "คำสั่งว่าด้วยรถยนต์หมดอายุ" ของสหภาพยุโรป โดยมีเหตุผลว่า ในกระบวนการรีไซเคิลรถยนต์หมดอายุ คาร์บอนไฟเบอร์อาจกลายเป็นมลพิษในอากาศ และอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนังของผู้ที่สัมผัสได้ ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่มีหน่วยงานรัฐบาลพิจารณาให้คาร์บอนไฟเบอร์เป็นวัสดุอันตราย

หลังจากมีการเผยแพร่ข่าวนี้ออกไป ตลาดก็เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงขึ้น ตามรายงานของ "Nikkei Asia" ราคาหุ้นของผู้ผลิตคาร์บอนไฟเบอร์ในญี่ปุ่นลดลงอย่างมาก ในตลาดการผลิตคาร์บอนไฟเบอร์ทั่วโลก บริษัทจากเอเชียสามแห่ง ได้แก่ TEIJIN LIMITED, Toray Industries และ Mitsubishi Chemical Corporation ถือครองส่วนแบ่งการตลาด 54% ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นของยุโรป

คาร์บอนไฟเบอร์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์สมัยใหม่ โดยมีการนำมาใช้ในชิ้นส่วนสำคัญมากมาย ในด้านโครงสร้างตัวถังรถยนต์ รถสปอร์ตหรูหลายรุ่นต่างก็เลือกใช้คาร์บอนไฟเบอร์เป็นวัสดุหลัก เช่น McLaren Senna ซึ่งใช้คาร์บอนไฟเบอร์จำนวนมากในโครงรถและแผงตัวถัง ส่งผลให้น้ำหนักตัวถังเบาลงถึง 40%-60% เมื่อเทียบกับวัสดุแบบดั้งเดิม ทำให้น้ำหนักรวมของรถลดลงอย่างมาก อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสมรรถนะการควบคุมและการเร่งความเร็วอย่างเห็นได้ชัด ทำให้สามารถทำความเร็วสูงและมีความคล่องตัวสูงบนสนามแข่ง

BMW M3 คูเป้ใช้หลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งช่วยลดน้ำหนักได้ 5 กิโลกรัม พร้อมกับลดจุดศูนย์ถ่วงของรถ ทำให้เสถียรภาพในการขับขี่ดีขึ้น ขณะที่ Subaru WRX STI tS ใช้หลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบากว่าแผ่นเหล็กแบบดั้งเดิมถึง 80%

ล้อรถยนต์ที่ใช้คาร์บอนไฟเบอร์เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงการแสวงหาสมรรถนะสูงสุด ล้อประเภทนี้มีน้ำหนักเบา ช่วยลดมวลที่ไม่อยู่บนช่วงล่าง (unsprung mass) ทำให้ระบบช่วงล่างตอบสนองได้อย่างรวดเร็วขึ้น ในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงหรือการขับขี่ในสไตล์ที่รุนแรง ล้อคาร์บอนไฟเบอร์จะทำงานได้อย่างมั่นคงและเชื่อถือได้ด้วยความแข็งแรงสูง ซึ่งช่วยเสริมความปลอดภัยและสมรรถนะการควบคุมของรถได้อย่างดีเยี่ยม

ระบบเบรกก็มีการนำวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้ โดยมักจะผสมกับเซรามิกเพื่อผลิตจานเบรกที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อการสึกหรอและความร้อนสูง จานเบรกชนิดนี้สามารถแปลงพลังงานจลน์เป็นความร้อนได้อย่างรวดเร็วและระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพในระหว่างการเบรกบ่อยครั้งหรือเบรกที่ความเร็วสูง ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพจากความร้อน และเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ระหว่างการเบรกฉุกเฉิน

สำหรับการตกแต่งภายในรถยนต์ พื้นที่บริเวณคอนโซลกลาง กรอบหน้าปัด และชิ้นส่วนเบาะนั่งมักนำคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้งาน เช่นในรถรุ่น Benz G-Class AMG, Ferrari 296, Benz E-Class AMG, SUV หรู LUMMA CLR G770 และ Nissan GT-R Nismo รุ่นพิเศษ การใช้คาร์บอนไฟเบอร์ในส่วนตกแต่งภายในนี้ไม่เพียงช่วยแก้ไขข้อด้อยของพลาสติกแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังมีสมรรถนะในการดูดซับแรงสั่นสะเทือนที่ดี ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ ทั้งยังเพิ่มบรรยากาศความหรูหราและล้ำสมัยภายในห้องโดยสารด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่น

หากใช้คาร์บอนไฟเบอร์ในระบบดูดอากาศนอกตัวรถ จะช่วยลดน้ำหนักและเพิ่มประสิทธิภาพการดูดอากาศ ทำให้เครื่องยนต์รับอากาศบริสุทธิ์ได้มากขึ้นและเพิ่มพลังงานขับเคลื่อน การใช้คาร์บอนไฟเบอร์ในเพลาขับยังช่วยลดน้ำหนัก พร้อมตอบสนองความต้องการในการรับแรงที่ซับซ้อน อีกทั้งยังทนต่อความล้าและคงทน ช่วยส่งกำลังได้อย่างมั่นคง การใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ในฝากระโปรงหน้าสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 50% พร้อมลดจุดศูนย์ถ่วงของรถ เพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม ส่วนการใช้คาร์บอนไฟเบอร์ในแชสซียังช่วยเพิ่มความต้านทานการกัดกร่อนและยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ได้อีกด้วย

กล่าวได้ว่าวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมยานยนต์ หากข้อแก้ไขของสหภาพยุโรปนี้ผ่านการอนุมัติและมีผลบังคับใช้ในปี 2029 จะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อวงการยานยนต์ ผู้ผลิตรถยนต์จะต้องปรับแผนใหม่เพื่อหาวัสดุอื่นมาทดแทนคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ผลิตคาร์บอนไฟเบอร์ต้องเผชิญปัญหาจำนวนคำสั่งซื้อที่ลดลง ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์และการบินมีแนวโน้มที่จะคัดค้านข้อแก้ไขดังกล่าว เนื่องจากคาร์บอนไฟเบอร์ได้ฝังรากลึกในอุตสาหกรรมสมัยใหม่แล้ว การเปลี่ยนแปลงจึงไม่ใช่เรื่องง่าย และความคืบหน้าในเรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ควรติดตามต่อไป